การศึกษาวิจัยใหม่เผยว่าเหตุใดภาวะขาดออกซิเจนในเลือดอย่างเงียบๆ จึงหลบเลี่ยงระบบเตือนภัยของร่างกายได้?

“ในเวชศาสตร์การดูแลผู้ป่วยวิกฤต ภาวะขาดออกซิเจนในเลือดอย่างเงียบๆ ยังคงเป็นปรากฏการณ์ทางคลินิกที่ไม่ค่อยได้รับการยอมรับ ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรง อาการที่ขัดแย้งนี้มีลักษณะเฉพาะคือ ภาวะออกซิเจนต่ำโดยไม่มีอาการหายใจลำบากตามสัดส่วน (เรียกว่า 'ภาวะขาดออกซิเจนอย่างเงียบๆ') ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลวที่กำลังจะเกิดขึ้น หลักฐานที่เพิ่มมากขึ้นยืนยันบทบาทของภาวะนี้ในฐานะกลไกทางพยาธิสรีรวิทยาที่แอบแฝง โดยการวินิจฉัยที่ล่าช้ามีส่วนทำให้เกิดการเสียชีวิตที่ป้องกันได้ในผู้ป่วยปอดบวม โควิด-19 และโรคปอดเรื้อรัง วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ได้เน้นย้ำถึง 'ความขัดแย้งของแพทย์' นี้เมื่อไม่นานมานี้ โดยความพยายามหายใจตามปกติปกปิดภาวะขาดออกซิเจนที่ร้ายแรง เรียกร้องให้มีการเฝ้าระวังทางคลินิกอีกครั้งและปฏิรูปโปรโตคอลการติดตาม”

ภาวะขาดออกซิเจนอย่างเงียบๆ

 

ภาวะขาดออกซิเจนในเลือดคืออะไร?

“ภาวะขาดออกซิเจนในเลือด ซึ่งหมายถึงภาวะที่ร่างกายขาดออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2 < 80 mmHg ที่ระดับน้ำทะเลในผู้ใหญ่) เกิดขึ้นเมื่อความดันบางส่วนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ปรับตามอายุ (AARC Clinical Practice Guideline 2021) กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจะแสดงลักษณะทางพยาธิสรีรวิทยาที่แตกต่างกัน:

  1. ความไม่ตรงกันระหว่างการระบายอากาศและการไหลเวียนของเลือด: ผู้ป่วยปอดอักเสบรุนแรงที่มีการแทรกซึมของถุงลมทำให้ความสามารถในการแพร่กระจายลดลง
  2. กลไกการสร้างหัวใจ: กลุ่มที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวซ้าย/ขวาที่แสดงอาการบวมน้ำในปอดที่เกิดจากความดัน (PCWP >18 mmHg)
  3. ​ภาวะระบบประสาทและกล้ามเนื้อบกพร่อง: ประชากรเด็กที่มีกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงพัฒนาไม่เต็มที่และผู้ใหญ่ที่มีความผิดปกติของกระบังลม
  4. ​การสัมผัสเรื้อรัง: ผู้ใช้ยาสูบมีอาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างปอด (ถุงลมโป่งพอง ระยะ COPD-GOLD ≥2)
  5. ปัจจัยกระตุ้นที่เกิดจากแพทย์: ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่ประสบภาวะหยุดหายใจจากการใช้ยาโอปิออยด์ (RR <12/นาที) และภาวะปอดแฟบ

ที่น่าสังเกตคือ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดทรวงอกร้อยละ 38 เกิดภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำภายใน 24 ชั่วโมงหลังถอดท่อช่วยหายใจ (ASA Closed Claims Data 2022) ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการตรวจตรวจวัดออกซิเจนในเลือดอย่างต่อเนื่องในกลุ่มประชากรเหล่านี้”ภาวะขาดออกซิเจนอย่างเงียบๆ

ภาวะออกซิเจนต่ำมีอันตรายอะไรบ้าง?

ตามสถิติทางคลินิก อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ขาดออกซิเจนในเลือดอย่างรุนแรงอาจสูงถึง 27% และในกรณีที่รุนแรงกว่านั้น อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึง 50% หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีในระยะเริ่มต้นของโรค อาจเกิดผลร้ายแรงตามมาได้

  • ผลกระทบต่อสมอง: เมื่อระดับออกซิเจนในเลือดลดลง (hypoxemia) สมองจะขาดออกซิเจน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการทันที เช่น ปวดศีรษะเรื้อรัง เวียนศีรษะฉับพลัน และความจำเสื่อม หากไม่ได้รับการรักษา การขาดออกซิเจนเป็นเวลานานอาจทำลายเซลล์สมอง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากการไหลเวียนของเลือดอุดตัน (สมองขาดเลือด) หรือหลอดเลือดแตก (เลือดออกในสมอง) การรู้สัญญาณเตือนเหล่านี้แต่เนิ่นๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันความเสียหายทางระบบประสาทอย่างถาวร
  • ผลกระทบต่อหัวใจ: เมื่อหัวใจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ หัวใจจะสูบฉีดเลือดได้ไม่เต็มที่ ความเครียดนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดสัญญาณเตือน เช่น หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นไม่สม่ำเสมอ แน่นหน้าอก (โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ) และอ่อนล้าผิดปกติ เมื่อเวลาผ่านไป การขาดออกซิเจนที่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอลง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่คุกคามชีวิต เช่น หัวใจล้มเหลว ซึ่งหัวใจไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของร่างกายได้
  • ผลกระทบต่อปอด: ระดับออกซิเจนที่ต่ำจะทำให้ปอดต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ เมื่อเวลาผ่านไป ความเครียดดังกล่าวอาจสร้างความเสียหายต่อทางเดินหายใจและเนื้อเยื่อปอด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เพิ่มขึ้น ในกรณีที่รุนแรง การขาดออกซิเจนเป็นเวลานานอาจทำให้ด้านขวาของหัวใจอ่อนแอลง เนื่องจากต้องพยายามสูบฉีดเลือดผ่านปอดที่แข็งเกร็ง ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่าคอร์พัลโมนาเล
  • ผลกระทบต่อร่างกายโดยรวม: ภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรังทำให้ทุกอวัยวะทำงานหนัก เช่น รถยนต์ที่ใช้น้ำมันน้อย ไตและตับจะค่อยๆ มีประสิทธิภาพในการกรองสารพิษน้อยลง ขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้การติดเชื้อทั่วไปต่อสู้ได้ยากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ภาวะขาดออกซิเจนที่เงียบๆ นี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อความเสียหายของอวัยวะและทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่ตามมา เช่น การเจ็บป่วยบ่อยครั้งหรือการเกิดแผลเป็นถาวรที่อวัยวะ การตรวจระดับออกซิเจนในระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นกับอวัยวะหลายส่วน

จะทราบได้อย่างไรว่าคุณมีภาวะขาดออกซิเจนในเลือดหรือไม่?

ระดับออกซิเจนในเลือดเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการตรวจหาภาวะขาดออกซิเจน ในบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง ค่าปกติจะอยู่ระหว่าง 95% ถึง 100% โดยระดับระหว่าง 90-94% บ่งชี้ถึงภาวะขาดออกซิเจนเล็กน้อย ซึ่งอาจไม่แสดงอาการที่ชัดเจน หากลดลงเหลือ 80-89% แสดงว่าขาดออกซิเจนในระดับปานกลาง ซึ่งมักทำให้หายใจลำบากหรือสับสน หากค่าต่ำกว่า 80% ถือเป็นภาวะฉุกเฉินร้ายแรง ซึ่งอวัยวะสำคัญอาจได้รับความเสียหายเนื่องจากขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง และต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ทันที

จะรักษาระดับออกซิเจนในเลือดให้ปกติได้อย่างไร?

  • เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ

เติมอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้านโดยเปิดหน้าต่างทุกวันเพื่อให้มีออกซิเจนหมุนเวียน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ควรไปที่สวนสาธารณะหรือบริเวณที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์นอกเขตเมืองเป็นระยะๆ เพื่อหายใจเข้าลึกๆ ที่สะอาด ซึ่งจะช่วยเติมออกซิเจนให้ร่างกาย

เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ

  • แอโรบิค

กิจกรรมแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว การว่ายน้ำ หรือการปั่นจักรยาน สามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนได้ หากคุณเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย ควรเลือกกิจกรรมที่มีความเข้มข้นต่ำ เช่น แอโรบิกในน้ำหรือจ็อกกิ้งช้าๆ การออกกำลังกายแบบเบาๆ เหล่านี้จะช่วยปรับปรุงการส่งออกซิเจนได้อย่างปลอดภัย พร้อมทั้งเพิ่มความแข็งแกร่งในระยะยาว

แอโรบิค

  • การบำบัดด้วยออกซิเจนที่บ้าน

สำหรับบุคคลที่มีปัญหาการหายใจเรื้อรังและมีปัญหาเรื่องระดับออกซิเจนต่ำ การใช้เครื่องผลิตออกซิเจนที่บ้านสามารถช่วยรักษาระดับออกซิเจนให้เหมาะสมได้ แพทย์มักแนะนำให้เริ่มใช้เครื่องผลิตออกซิเจนแบบพกพาในระหว่างนอนหลับหรือทำกิจกรรมประจำวัน เมื่อใช้ตามคำแนะนำ การบำบัดนี้จะช่วยเพิ่มระดับพลังงาน ลดอาการหายใจลำบาก และช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดีขึ้น


เวลาโพสต์ : 25-04-2025